1/12/52

10 สุดยอดคำสาปของโลก



อันดับ 10 เพชรโฮป (Hope Diamond)
เป็นเพชรสีนํ้าเงินขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีนํ้าหนักถึง 45.52 กะรัต โดยพ่อค้าฝรั่งเศสนาม จอห์น แบ็บติส ทราวิเนียร์ ได้ขโมยมาจากพระนลาฏ (หน้าผาก) เทวรูปฮินดูในวิหารแห่งหนึ่งของอินเดีย เมื่อราว ค.ศ. 1600 โดยหารู้ไม่ว่าโคตรเพชรนี้มีคําสาปติดมาด้วย นั่นคือ มันผู้ใดที่ขโมยหรือครอบครองเพชรโฮป จะต้องประสบความวิบัติทุกรายไป!

และก็จริงตามคําสาป นับตั้งแต่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งทรงซื้อเพชรนี้จากนายทราวิเนียร์ พระองค์และ พระราชวงศ์ก็ทรงได้รับภัยร้ายกาจจากการปฏิวัติของฝรั่งเศสตลอด กระทั่งนาย เฮนรีย์ ฟิลิป โฮป (เจ้าของชื่อเพชรเม็ดนี้) นายปิแอร์ คาร์เทียร์ (พ่อค้าอัญมณีชื่อดังที่เรารู้จักกันดี) ฯลฯ ล้วนประสบกับอัปมงคลจนถึงผู้ครอบครองรายสุดท้ายคือ ตระกูลของ เซอร์ ฮาร์รีย์ วินสตัน ได้ให้เลดี้ไฮโซ ผู้หนึ่งยืมสร้อยคอเพชรโฮป สวมใส่ในงานราตรี สองเดือนต่อมา ลูกน้อยของเธอก็ตายอย่างลึกลับ สามีกลายเป็นบ้าและต้องหย่าขาดกัน ในที่สุด ทายาทตระกูลวินสตันจึงมอบเพชรโฮปให้สถาบันสมิธ โซเนียนของสหรัฐฯ เป็นผู้อนุรักษ์แทน



อันดับ 9 วิหารกระดูก แห่งเมือง อีโวรา
โปรตุเกส วิหารนี้สร้างในศตวรรษที่ 15 โดยพระนิกายฟรานซิสกัน ที่ประหลาดพิสดารคือ ผนังภายในวิหารนี้สร้างขึ้นจากกระดูกของมนุษย์กว่า 5,000 คนครับ เท่านั้นไม่พอ มีซากศพ 2 ร่าง ห้อยแขวนติดผนังด้านหนึ่งด้วย!

ตํานานวัดระบุว่า ครั้งกระโน้นมีสตรีนางหนึ่งซึ่งยึดมั่น ในคาทอลิก แต่ได้ถูกสามีผู้โมโหร้ายกับลูกชายของ เธอเองช่วยกันโบยตีจนตาย ก่อนสิ้นชีวิต เธอได้สาป ให้วิญญาณของเขาทั้ง 2 ลงนรก แม้แต่พื้นพสุธา ก็จะไม่ยินดีรับร่างของเขาไว้ ไม่นานนัก ชายทั้งสองก็ถึงแก่มรณกรรม ชาวเมืองพยายามขุด หลุมฝังศพของเขา แต่ขุดลงไปที่ใดก็เจอะแต่หิน เมื่อจนปัญญา พวกเขาจึงนําเอาซากศพทั้งสองขึ้น ไปห้อยแขวนไว้กับ ผนังวิหารดังกล่าว สําหรับให้นักบวชได้ใช้ปลง ในระหว่างทําสมาธิค ก็นับเป็นคําสาปที่ขลังยิ่ง



อันดับที่ 8 ละครเรื่อง แม็คเบ็ธ (Macbeth) ของเชคสเปียร์
ละครเรื่องนี้มีฉากที่เกี่ยวกับแม่มดและ คําสาปมนต์ดํา ว่ากันว่าทําให้แม่มดตัวจริงสมัยนั้น เคืองแค้น ที่เชคสเปียร์นําเอาเรื่องลับของพวกเขามาเปิดเผย จึงสาปให้ละครเรื่องนี้มีอันเป็นไปหากใครนํามาแสดงโดยเฉพาะตัวละครที่เล่นบทแม็คเบ็ธ

ผลของคําสาปอุบัติขึ้นตั้งแต่หนแรกสุดที่ละครนี้ออกแสดง โดยผู้แสดงที่ชื่อ ฮัล เบอร์ริดจ์ ซึ่งสวมบทเลดี้เอม ได้ล้มเจ็บลงในคืนนั้น และสิ้นใจตายหลังเวที

และนับแต่นั้นมาเกือบ 400 ปี ละครเรื่องนี้ก็มีอาถรรพณ์เกิดขึ้นกับนักแสดงมาตลอด เช่น มีอุบัติเหตุบาดเจ็บ ล้มตาย บางคนฆ่าตัวตาย และที่น่าพรึงเพริดที่สุดก็คือ ในปี ค.ศ. 1947 นักแสดงชื่อ ฮาโรลด์ ทอร์แมน เป็นผู้รับบทแม็คเบ็ธ ในระหว่างการดวลดาบนั้น คู่ต่อสู้ของเขาลืมสวมที่ครอบปลายดาบ พอแม็คเบ็ธ ถูกแทงล้มลง กลางเวที ผู้ดูต่างก็ปรบมือพอใจในบทบาท หากทว่า หลังเวทีนั่นซิ ต่างก็ตกใจกันยิ่งนักที่เขาโดน แทงจริงๆ ทอร์แมนตายใน 3 สัปดาห์ต่อมา



อันดับ 7 คําสาปของ อลิสแตร์ ครอว์ลีย์ พ่อมดแห่งทะเลสาบล็อคเนสส์
สกอตแลนด์ ปี 1899 ครอว์ลีย์อาศัยอยู่ในบ้านอย่างโดดเดี่ยว ทางตอนใต้ของทะเลสาบที่ลือลั่นในเรื่องอสุรสัตว์ กล่าวกันว่าเขา ขมังในเรื่องเวทมนตร์และเลี้ยงวิญญาณภูตไว้ถึง 115 ตน เขาสามารถดลบันดาลให้ เพื่อนบ้านหลายคนมีอันเป็นไปนานา จนเป็นที่หวาดหวั่นไปทั่ว

ก่อนตาย ครอว์ลีย์ ได้สาปทิ้งท้ายไว้กับยอดเขาแห่งหนึ่งซึ่งเรียกกันว่า “ปล่องไฟปีศาจ” และครอว์ลีย์เคยหลงทางที่ยอดเขานี้ ซึ่งทําให้เขาขัดเคืองใจ จึงสาปว่าเมื่อใดที่ยอดเขานี้พังทลาย สิ่งชั่วร้ายต่างๆ ก็จะถูกปลดปล่อยแผ่กระจายไปด้วย

“ปล่องไฟปีศาจ” ยืนหยัดอยู่นานนับพันปี แต่แล้วในเดือนเมษายน 2001 ยอดสูงราว 70 เมตร ก็มีอันถล่มทลายลงมาในทะเล เรื่องนี้ทําให้ผู้ที่เชื่อถือในตํานานพากันผวาไปตามกันเลยครับ ป่านนี้นรกคงครอบคลุมแผ่นดินแล้ว



อันดับ 6 คําสาปวูดูแห่งนิวออร์ลีนส์,
สหรัฐฯ แม่มดวูดูผู้นี้มีนามว่า มารี ลาโว มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1800 กว่าๆ เพื่อนบ้านรํ่าลือกันว่าเธอสามารถสาปได้ทั้งคนและสัตว์ โดยใช้มนต์ดําของวูดู กระทั่งทุกวันนี้ยังมีการจัดทัวร์พาไปชมบ้านของเธอ รวมทั้งบนบานขอให้เธอช่วยสาปใครก็ได้ เรียกกันว่า บลัดดี้มารีทัวร์

ทั้งนี้ ผู้ขอจะต้องปฏิบัติดังนี้ เริ่มจากเคาะ 3 ครั้งบนโลงศพของมารี แล้วหมุนกายทวนเข็มนาฬิกา 3 รอบ เซ่นเหล้ารัม ข้ามหลุมศพ 3 หน แล้วเปล่งชื่อของเธอออกมาดังๆ จากนั้นก็บอกกล่าวถึงจุดประสงค์ของคุณ (ว่าจะให้เธอดลให้ศัตรูของคุณวิบัติอย่างไร)
ไม่เชื่อก็เดินทางร่วมทัวร์ไปพิสูจน์ได้



อันดับ 5 คําสาป ตุตันคาเมน,
อียิปต์ เรื่องนี้เราคงเคยได้ฟังกันมาแล้ว จึงขอสรุปสั้นๆ แค่ว่า ทั้ง โฮวาร์ด คาร์เตอร์, ลอร์ด คาร์นาวอน และผู้มีส่วนรบกวนสุสานของฟาโรห์องค์ นี้ ล้วนมีอันล้มหายตายจากก่อนวัย อันควรทั้งนั้น



อันดับ 4 อีกา แห่งป้อมปราสาทลอนดอน (Tower of London)
ป้อมปราสาทนี้ เป็นที่รู้จักกันดี ในฐานะถูกใช้เป็นที่คุมขังและประหารบุคคลสําคัญๆ ของอังกฤษมากมายหลายท่าน ณ ลานปราสาทแห่งนี้จะมีการเลี้ยงดูอีกา จํานวน 6 ตัว เนื่องจากมีคําสาปมานานกว่า 900 ปี ว่า ถ้าหากอีกาลดจํานวนลงเมื่อใด เมื่อนั้นความหายนะจะมาเยือน นครลอนดอน และสิ้นสุดพระราชวงศ์แห่งอังกฤษ!

เรื่องนี้มีตํานานปรากฏเป็นเอกสาร ในสมัยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 ราวศตวรรษที่ 17 ด้วย ไม่ใช่ เรื่องเลื่อนลอยแต่อย่างใด และทําให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นยาม หรือกษัตริย์ถือเป็น เรื่องจริงจัง อย่างเคร่งครัด

เช่นว่า ถ้ามีอีกาตายหนึ่งตัว จะต้องรีบถวายรายงานต่อควีนทันที และต้องจัดหาอีกาตัวใหม่ มาทดแทนโดยด่วน ซึ่งอีกาทุกตัวจะมีชื่อเรียก และถ้าตายก็จะถูกนําไปฝังอย่างมีพิธีการ จะมีการเลี้ยงอีกาไว้สํารองตลอดเวลา ถ้าตัวใดล้มป่วย ก็ต้องรีบตรวจสอบ หาไม่ถ้าหากตายโดยโรคติดต่อ (เช่น ไข้หวัดนก) และเช้าขึ้นมาอีกาตายเกลี้ยงละก้อ เชื่อกันว่าทั้งพระราชวงศ์ก็จะอันตรธานไปเช่นกัน



อันดับ 3 คําสาปตะกั่วแห่งกรีซ
ใน ค.ศ. 1979 มีการขุดค้นโบราณสถานชื่ออโกรา, นครเอเธนส์ ทําให้พบแผ่นม้วนตะกั่วบางๆ ซึ่งมีจารึกภาษาโบราณอันเป็นคําสาปปรากฏอยู่ แผ่นตะกั่วนี้เรียกกันว่า คาตาเรส (Katares) ใช้ใส่ลงในโลงศพก่อนจะฝัง เชื่อกันว่าตะกั่วจะทําให้คําสาปจมลงไปอย่างรวดเร็วถึงขุมนรกพร้อมกับวิญญาณผู้ตาย เพื่อที่พระยมจะได้อ่านคําสาปและดลบันดาลให้เป็นไปตามนั้น

นอกจากนี้ การฝากหรือทิ้งแผ่นคําสาปลงไปในนํ้าก็เป็นอีกวิธีการหนึ่ง เพราะนํ้าจะสามารถสื่อ ไปถึงผู้ที่เราต้องการสาปได้ ซึ่งแผ่นคาตาเรสกว่า 100 แผ่นที่ค้นพบนี้ได้ระบุจ่าหน้าถึง ซูลิส ไมเนอร์วา ซึ่งเป็นเทพีด้านอุทกของโรมัน



อันดับ 2 คําสาป วัฏจักรมรณกรรม ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ
นี่ก็เป็นอาถรรพณ์อีกอย่างซึ่ง โด่งดังมาก นั่นคือ ปธน. สหรัฐฯ ท่านใดที่ได้รับเลือกตั้งในปี ค.ศ. ที่ลงท้ายด้วยเลข 0 จะต้องถึงแก่ มรณกรรมในหน้าที่ ตํานานระบุว่า ผู้ที่สาปก็คือ เตคัมเซ่ หัวหน้าเผ่าอินเดียนแดง ผู้คับแค้นจากการถูกชนผิวขาวเข้ามายํ่ายีแย่งแผ่นดิน เขาได้สาปไว้ก่อนที่จะถูกฆ่าตายในปี ค.ศ. 1813

ปธน.คนแรกที่ตกเป็นเหยื่อก็คือ วิลเลียม เฮนรีย์ แฮร์ริสัน ที่ได้รับเลือกตั้งใน ค.ศ. 1840 ถัดจากนั้นคําสาปก็เป็นจริงมาตลอด ไม่ว่าจะเป็น ลิน-คอล์น (1860) การ์ฟิลด์ (1880) แม็คคินลีย์ (1900) ฮาร์ดิ้ง (1920) รูสเวลท์ (1940) เคนเนดี้ (1960)

เพิ่งมีรอดรายเดียวคือ ปธน. เรแกน (1980) แต่ท่านก็ถูกมือปืนชื่อ จอห์น ฮิงค์ลีย์ ยิงบาดเจ็บสาหัสในปี 1981 นัยว่าปืนที่ใช้นั้นไร้ประสิทธิภาพ ท่านจึงรอดพ้น อาถรรพณ์มาได้อย่างหวุดหวิด



อันดับ 1 คําสาปในสวนอีเดน (Garden of Eden)
นับเป็นคําสาปแรกเริ่มสุดๆ ตั้งแต่ครั้งพระเจ้าสร้างโลกโน่นเลย โดยปรากฏเรื่องราวอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิลว่า ก็อดทรงเสกอาดัม มนุษย์ผู้ชายขึ้นก่อน จากนั้นก็แซะเอาซี่โครงของอาดัมมาเสกเป็นอีฟ แล้วส่งทั้งคู่ไปอยู่ในสวนอีเดน พร้อมรับสั่งว่าจะกินอะไรก็ได้ทุกอย่าง ยกเว้นผลไม้จากต้นแห่ง ความรู้หรือแอปเปิ้ล แต่ไอ้งูตัวแสบ มันยุยงอีฟให้หมํ่า แอปเปิ้ลเข้าไป หมํ่าคนเดียวไม่พอ อีฟยังชักชวนให้อาดัมหมํ่าด้วย เมื่อขัดคําสั่งของพระเจ้า ก็เป็นเรื่องขึ้น

โดยไอ้งูจอมแสบ โดนสาปให้ไปไหนมาไหน ด้วยการใช้ท้องไถไป อีฟโดนสาปให้คลอดลูก ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว ส่วนอาดัมต้องทํางานหาเลี้ยงท้องอย่างเหน็ดเหนื่อยทั้งชีวิต ซึ่งคําสาปมหากาฬนี้ก็ตกทอดมาถึงพวกเราทุกคนกระทั่งทุกวันนี้

30/11/52

คำทำนายของนอสตราดามุส



ยักษ์นอกศาสนาจะฆ่ากัน
สงคราม
ชั่วโมงนี้ทั่วโลกต่างก็จับจ้องอยู่กับเรื่องสงครามระหว่างมะริกัน-อัฟกัน มิใช่เพียงเพราะนี่เป็นสงครามระหว่างประเทศมหาอำนาจ อย่างสหรัฐอเมริกา ภายใต้การนำของประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช กับประเทศอัฟกานิสถาน ภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหาร ตาลีบัน ที่ปกป้องและให้ผืนแผ่นดินพักพิงกับ โอซามา บิน ลาเดน ผู้ก่อการร้ายที่สหรัฐเชื่อว่าอยู่เบื้องหลังการก่อวินาศกรรมครั้งใหญ่ในสหรัฐ

และมิใช่เพียงเพราะนี่เป็น "สงครามแรกของศตวรรษที่ 21" แต่เพราะมีการระบุว่าศึกล้างแค้นของสหรัฐในครั้งนี้ ดีไม่ดีอาจเป็นชนวนนำไปสู่การเกิด "สงครามโลกครั้งที่ 3" หรือปะเหมาะเคราะห์ร้ายอาจถึงขั้นบานปลายเป็น "สงครามล้างโลก"

อะไรทำให้เกิดความหวาดวิตกเช่นนี้ ??

ประการแรก... สงครามครั้งนี้สหรัฐประกาศกร้าวว่าจะกระทำอย่างไม่ไว้หน้าใคร เว้นแต่จะได้ตัวบิน ลาเดน มาลงโทษแต่โดยดี ซึ่งคงเป็นไปได้ยาก สหรัฐจึงต้องทุ่มเททุกวิถีทางเพื่อชัยชนะ เพื่อกู้หน้า-กู้ศักดิ์ศรี เพื่อชำระแค้นการก่อการร้ายที่ส่งผลให้มีชาวอเมริกันและชาติอื่นเสียชีวิตและสูญหายหลายพันคน

จุดนี้เองที่ก่อให้ความกังวลว่าขอบเขตของสงครามอาจจะมิได้จำกัดอยู่เพียงอัฟกานิสถาน แต่อาจบานปลายลุกลามไปถึงประเทศอาหรับอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการนำเรื่อง "ศาสนา" เข้ามามัดโยง จนกลายเป็น "สงครามศาสนา" ซึ่งถ้าถึงวันนั้นผลกระทบการขัดแย้งจะผุดขึ้นทุกหัวระแหงทั่วโลก !! ยิ่งถ้ามีประเทศมหาอำนาจหรือมหาอำนาจเก่าซีกอื่น เช่น จีน, รัสเซีย มองว่าสิ่งที่สหรัฐกำลังทำอาจกระทบเสถียรภาพของประเทศตน แล้วโดดลงมาขวาง หรือลงมาช่วยฝ่ายตรงข้ามสหรัฐ นี่ย่อมมิใช่เรื่องเล็ก ๆ

สงครามใหญ่หยุดโลกย่อมมีสิทธิบังเกิด !!

อีกประการหนึ่ง... ได้มีความกังวลกันว่ากลุ่มก่อการร้ายที่กล้าทำขนาดนี้ บางทีอาจเพราะมีไพ่เด็ดอยู่ในมือก็เป็นได้ ซึ่งหากถูกสหรัฐกดดันรุงแรงมากเข้าที่สุดก็อาจหงายไพ่มาสู้ ไพ่เด็ดที่ว่านี้ก็คือ "อาวุธนิวเคลียร์-อาวุธเคมี-อาวุธเชื้อโรค" อาวุธที่มีอานุภาพล้างโลกได้ง่าย ๆ และอีกสิ่งซึ่งมาเสริมความหวาดกลัว "สงครามโลกครั้งที่ 3 - สงครามล้างโลก" ก็คือ...คำทำนายโบราณในทางศาสนาต่าง ๆ และคำทำนายของ "นอสตราดามุส" นักพยากรณ์ชื่อก้องโลกชาวฝรั่งเศส
จากเอกสารที่กล่าวอ้างถึง "พุทธทำนาย" มีการระบุถึงคำพยากรณ์อนาคตมนุษย์โลกไว้ตอนหนึ่งในทำนองที่ว่า...หลังกึ่งพุทธกาลหรือหลัง พ.ศ. 2500 แล้ว สงครามที่ร้ายแรงยิ่งกว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 จะบังเกิดขึ้น "ยักษ์นอกพุทธศาสนาจะรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายต่างจะล้มตายกันฝ่ายละ มาก ๆ สมณะ ชี พราหมณ์จะล้มตาย จะตายไปฝ่ายละครึ่ง จึงจะเลิกรากัน"



ใน "พระคัมภีร์ไบเบิล" ของศาสนาคริสต์ ได้มีการทำนายการแตกดับของโลกไว้หลายบท เช่น... "วันที่พระเจ้ามาถึง วันนั้นท้องฟ้าจะถูกไฟผลาญสลายไป และโลกธาตุก็จะถูกไฟเผาให้สลายไป..."

ขณะที่ "นอสตราดามุส" ก็เขียนโคลงทำนายเกี่ยวกับการเกิดกลียุคของโลก-วันโลกาวินาศไว้ในบันทึกชื่อ "เดอะ เซ็นจูรี่" เมื่อกว่า 400 ปีก่อนไว้หลายบท อาทิ... "ดวงอาทิตย์ขึ้นจะเห็นดวงไฟใหญ่ แสงวูบวาบกับเสียงกึกก้องจะแผ่ไปทางเหนือ เสียงร้องครวญครางโหยหวนของความตายได้ยินไปทั่วทั้งโลกด้วยสรรพาวุธ ไฟ ความอดอยาก กับความตายจะคอยรับพวกเขา" (ซ.2 ค.91) บรรยากาศท้องฟ้าและแผ่นดินโลกจะมืดลง และถูกบดบังจนมืดครึ้ม แม้แต่คนไม่เชื่อศาสนายังพร่ำเรียกหาพระผู้เป็นเจ้ากับนักบุญ" (ซ.9 ค.83)

นอกจากนี้ นอสตราดามุสยังได้เขียนจดหมายถึงซีซาร์บุตรชาย มีข้อความตอนหนึ่งว่า... "ก่อนที่ดวงจันทร์จะโคจรจนครบรอบใหญ่ (ค.ศ. 1889-2250) ดวงอาทิตย์และดาวเสาร์จะมาถึงตามลักษณะของดวงดาว ยุคของดาวเสาร์จะเกิดขึ้นอีกเป็นหนที่ 2 คำนวณจากเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว โลกจะพาตัวเองใกล้เข้าสู่วัฏจักรแห่งการแตกดับขั้นสุดท้าย"

ล้วนเป็นคำทำนายเรื่องหายนะของโลก !!

อย่างไรก็ตาม พระราชกวี รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย (มมร.) กล่าวเตือนสติว่า... คนมักไปฟังการทำนายของนอสตราดามุส มากเกินไป มีการตีความกันไปต่าง ๆ นานา โดยเฉพาะที่มีการตีความเมื่อ 2-3 ปีก่อนว่าจะเกิดน้ำท่วมโลก ซึ่งในอดีตกาลพระพุทธเจ้าไม่เคยทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้า ท่านมีแต่ยกเหตุผลมาเป็นตัวอย่าง เช่น เรื่องประมาท หรือการสร้างเวร เวรจะระงับได้ด้วยการไม่จองเวร
การจองเวรเป็นการจุดไฟให้ลุก..เกิดการล้างผลาญ

"สหรัฐมีไฟที่จุดอยู่ในใจ จึงเกิดความเคียดแค้น หากยังไม่เลิกจองเวร หรือทำลายล้าง ความหายนะก็จะเกิดขึ้นกับทุกฝ่าย เพียงเพราะต้องการทำลายคนแค่ 1-2 คนเท่านั้น"

ด้าน พระศรีปริยัติโมลี รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) ฝ่ายการต่างประเทศ กล่าวว่า... ทางศาสนาพุทธไม่เคยมีใครทำนายอย่างนอสตราดามุส ส่วนของเราจะพูดในหลักการ หมายความว่าโลกเราเป็นไปตามกฎอนิจจัง ไม่ว่าคนหรือสิ่งของอะไรที่ใหญ่โตมโหฬาร มีอำนาจบารมีมากมายมหาศาลแค่ไหน ก็ต้องถูกทำลายล้าง คือทุกอย่างมันไม่เที่ยง ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปเสมอ

"ถ้าโลกจะพินาศย่อยยับดับสูญไป เกิดสงครามล้างโลก สาเหตุก็มาจากกิเลสในใจมนุษย์ ที่มีทั้งความโลภ โมหะ และความหลง ความอยากได้ เหล่านี้เป็นชนวนเหตุที่ทำให้เกิดสงคราม โดยมนุษย์เป็นผู้ทำลายในแง่ของการปฏิบัติ เพราะสงครามที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งก็เนื่องมาจากการแย่งชิงทรัพยากร ความโกรธเกลียด พยาบาทอาฆาตแค้น และแบ่งแยกสีผิว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสหรัฐอเมริกาก็เช่นเดียวกัน"

คำทำนายใดที่ว่าน่ากลัว..ที่สุดแล้วก็คงไม่น่ากลัวเท่าจิตใจอันเคียดแค้นของมนุษย์เอง !!

อัลเบิร์ต ไอสไตน์ อัจฉริยะผู้คิดค้นระเบิดปรมาณู เคยกล่าวไว้ว่า... สงครามโลกครั้งที่ 3 มนุษยชาติจะรบราฆ่ากันยังไง...ไม่รู้ แต่ที่รู้ก็คือ "สงครามโลกครั้งที่ 4" มนุษย์จะรบกันด้วย "ไม้

ตำนานสวนอีเดน




.:: Eden: สวนสวรรค์ยุคบรรพกาล ::.
เรื่องเกี่ยวกับกำเนิดของอาดัมและอีฟ และการถูกอัปเปหิออกจากแดนสวรรค์ที่พระเจ้าเนรมิตขึ้นให้อาศัยอยู่ ตามที่เล่าในคัมภีร์ไบเบิลเล่มปฐมกาลนั้นนะครับ กล่าวได้ว่าเป็นใจความสำคัญอย่างหนึ่งของศาสนาคริสต์ ยูดาย เลยทีเดียว ความคิดเรื่องสวนสวรรค์อีเดน ติดตรึงอยู่ในจินตนาการสร้างสรรค์ของศิลปินและนักประพันธ์มาหลายยุคหลายสมัย สืบเนื่องกันมานานหลายศตวรรษแล้ว

อาดัมกับอีฟที่ถูกมารร้ายลวงล่อให้กินผลไม้แห่งความรู้
แต่ทราบกันไหมครับว่า เรื่องราวของเอเดนนั้น มาจากจารึกตำนานของชาวสุเมเรียน ซึ่งกล่าวถึงดินแดนแห่งพระเจ้า Eridu ที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาจากที่นั่น ตำนานของชาวอินคาก็มีเรื่องราวที่คล้ายๆกัน ว่าด้วยการสร้างมนุษย์โดยเทพจากห้วงเวหาวิราโคชา ที่ทะเลสาบติติคาคาในปัจจุบัน ซึ่งรายละเอียดส่วนนี้ผมเคยเล่าไปหลายรอบแล้ว และคงจะมาขยายรายละเอียดอีกทีใน Ancient Astronaut ภาค Revisited ซึ่งกำลังเรียบเรียงอยู่ ตอนนี้เอาเป็นว่า ผมจะพาท่านมารู้จักกับสวนสวรรค์เอเดนสักนิดละกันนะครับ ว่าตามความเชื่อของคริสตศาสนิกชน ตามไบเบิลฉบับปฐมกาล และตามเรื่องราวของชาวยิวโบราณหรือฮีบรูว์นั้น กล่าวถึงสวนสวรรค์เอเดนกันว่าอย่างไร ถือเป็นการปูพื้นพอหอมปากหอมคอ หลายๆท่านจะได้ไม่สงสัยไงครับ เวลาผมกล่าวอ้างถึงสวนสวรรค์เอเดน (โดยเฉพาะใน"ไบเบิ้ลกับพระเจ้าจากอวกาศ" ที่นายโซนิคดองเอาไว้นานแสนนาน ช่วงหลังจะกล่าวถึงรายละเอียดของเอเดนกับน้ำท่วมโลกแทบทั้งหมดเลย - - แบบว่า กำลังมีโปรเจ็คจะปัดฝุ่นเอามาทำต่อน่ะครับ รอกันนานจนลืมกันไปแล้วหรือยังเอ่ย)
เอาล่ะเรามาต่อกันดีกว่า สวนสวรรค์เอเดนซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดในโลกแห่งนี้ สุขสงบสวยงามอุดมไปด้วยน้ำ อาหารการกิน อาดัมกับอีฟมีเพื่อนเป็น"!ทุกตัวในท้องทุ่งและนกทุกตัวในอากาศ" ที่คอยให้ความเพลิดเพลิน ต้นไม้ไพรพฤกษ์แผ่เงาร่มเย็น แม่น้ำเป็นประกายระยับไหลผ่านอุทยาน และเมื่อไหลพ้นแดนสวรรค์ก็แยกเป็นสายธารสี่สายคือ พิโชน กริโฮน ไทกริสและยูเฟรติส (โปรดสังเกตสองแม่น้ำด้านหลังครับ แม่น้ำสายสำคัญของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย... รายละเอียดของสิ่งแวดล้อมที่บันทึกไว้ในไบเบิลมีเพียงเท่านี้ ส่วนที่เหลือคงแล้วแต่คนรุ่นหลังจะตีความ ต้นไม้ที่มีอยู่จริงแท้แน่นอนในสวนนี้ที่กล่าวถึงคือต้นมะเดื่อ แม้เรื่องเล่าภายหลังจะบอกว่าต้นอินทผลัมเป็นต้นไม้แห่งชีวิต และต้นกล้วยคือต้นไม้แห่งความรู้ก็ตามที (คิดถึงต้นไม้แห่งชีวิตของชาวสุเมเรียนขึ้นมาตะหงิดๆแฮะ)

พอพูดถึงเอเดนคนมักจะคิดไปถึงสวนที่มีรั้วรอบขอบชิด อาจเป็นเพราะคำภาษากรีกว่า ปาราดิซอส(paradisos) ซึ่งหมายถึงสวนสวรรค์เอเดนนั้นแปลว่า "ที่ดินซึ่งปิดล้อมเอาไว้" จากต้นตอที่แทบไม่ได้บอกอะไรเอาไว้เหล่านี้ เหล่ากวี จิตกร นักโบราณคดี นักศาสนวิทยา จึงพากันตีความวาดภาพสวนสวรรค์เอเดน โดยใช้ข่าวลือเกร็ดเสริมจากแหล่งต่างๆตามความสามารถในการตีความของตน เรียกว่า ไม่มีใครทราบสภาพความเป็นไปอันแท้จริงของสวนสวรรค์นี้เลยก็ว่าได้ครับ
เรื่องเล่าเก่าแก่ที่สุดของสวรรค์บนดินอาจย้อนรอยสืบไปจนถึงประมาณ 2000 BC. ดินแดนที่เรียกว่า Dilmun ของชาวสุเมเรียนซึ่งตั้งอยู่ ณ ตำแหน่งของอาทิตย์อุทัยคือที่สถิตย์แห่งปวงเทพเจ้า เป็นสถานที่ซึ่งปราศจากความเศร้าโศก โรคภัย หรือแม้แต่ความแก่ชรา และเป็นที่ซึ่ง "ไม่มีใครได้ยินเสียงการ้อง" มีคำอ้างอิงที่แน่ชัดกว่าเกี่ยวกับสวนนี้ในมหากาพย์กิลกาเมชของชาวสุเมเรียน แม้ว่าจะดูคล้ายกับ"อุทยานของพระเจ้า" ในคัมภีร์ของ Ezekeil มากกว่าสวนสวรรค์เอเดนในบท Genesis ของไบเบิลก็ตามที ในมหากาพย์นี้กิลกาเมชตัวเอกของเรื่องเดินทางไปสู่ยอดเขา"อุทยานของพระเจ้า" ที่ต้นไม้มีอัญมณีประดับระยิบระยับออกผลเป็นโกเมน และมีใบเป็นหินลาพิซ ลาซูรี สีน้ำเงินเข้ม



คำพรรณนาเกี่ยวกับแดนสวรรค์ที่ไม่ได้มาจากพระคัมภีร์ไบเบิล แต่มีอิทธิพลอย่างมากต่อมโนความคิดของชาวคริสต์สมัยต่อมา เป็นคำพรรณนาของกวียุคคลาสสิคในสมัย 800 BC. โฮเมอร์มหากวีชาวกรีกกล่าวถึงดินแดน Elisium ซึ่งตั้งอยู่สุดปลายโลก ในเอลิเซียมนั้นหิมะไม่ตก มี้พียงสายลมแผ่วเบาชื่นใจ เฮซิออตผู้เป็นกวีร่วมสมัยเดียวกับโฮเมอร์บรรยายถึงเรื่องราวที่แตกต่างออกไป โดยพุ่งความสนใจไปที่สภาพความเป็นอยู่ที่สุขสงบมากกว่าจะพูดถึงตัวสถานที่เอง ชวนให้ผู้คนหวนรำลึกถึงยุคทองที่สงบสุขแห่งอดีต ผู้คนที่ไม่มีวันแก่เฒ่า ใช้ชีวิตโดยไม่ต้องทำงานหนัก อาศัยผลิตผลอันอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินเป็นอาหารเช่นเดียวกับอาดัมและอีฟ ก่อนที่พวกเขาจะถูกขับออกมาจากสวนสวรรค์แห่งพระเจ้า... เอเดน
ทั้งโฮเมอร์และเฮซิออต ตลอดจนกวีรุ่นหลังชาวโรมันคือเวอร์จิลและโอวิดมีอิทธิพลใหญ่หลวงต่อการสร้างมโนภาพสวนสวรรค์เอเดน นับแต่ยุคคริสเตียนระยะแรกๆมาจนถึงยุคเรอเนอซองส์และยุคต่อจากนั้น จอห์น มิลตัน กวีชาวอังกฤษพรรณนาถึงสวนสวรรค์เอเดนอย่างละเอียดและมีสีสรรค์ ในมหากาพย์เรื่อง Paradise Lost หรือสวรรค์ล่ม สวรรค์ของมิลตันตั้งอยู่บนที่ราบสูงชัน มีกำแพงล้อมรอบ บนภูเขาปกคลุมด้วยต้นไม้สูงส่งกลิ่นหอมตลบไปทั่ว เต็มไปด้วยเสียงนกนานาชนิด ตามลำธารและอน้ำมีน้ำเหลือเฟือ ความเป็นอัจฉริยะของมิลตันนั้น อยู่การนำเนื้อหาจากทั้งในพระคัมภีร์ไบเบิลและที่อื่นมาผสมผสานกันอย่างแยบคาย บ่อน้ำที่ไม่มีวันเหือดแห้งซึ่งหล่อเลี้ยงสวนนี้กับพื้นดินอันอุดมสมบูรณ์ มีที่มาจากเรื่องราวของเอลิเซียมในสมัยคลาสสิคอย่างไม่ต้องสงสัย
สวนสวรรค์อันพูนพร้อมด้วยรูป รส กลิ่น เสียง นั้น เป็นลักษณะสวรรค์ของชาวมุสลิมที่อยู่บนสววรค์ชั้นฟ้ามากกว่าจะอยู่บนโลก ในคัมภีร์โกหร่านบอกว่ามุสลิมที่เคร่งครัดจะได้ขึ้นสวรรค์หลังจากตายไป และขึ้นไปอยู่ในอุทยานที่มีบ่อน้ำพุพรูพรั่งมีบ่อน้ำหอมหวานไหลริน ต้นปาล์มและทับทิมร่มรื่นเต็มสวน มีที่นอนอันอ่อนนุ่มให้เอนนอน คนที่ได้ขึ้นสวรรค์จะแต่งตัวในชุดผ้าไหมสีเขียว มีสาวพรหมจารีย์ที่งามราวกับทับทิมและปะการังมาปรนนิบัติด้วยอาหารในจานสีเงิน (โอ๊ะ ^^! ชอบ...
ในขณะที่ชาวมุสลิมมุ่งเนรมิตสวรรค์บนโลกโดยการสร้างอุทยานอันสงบสุข ชาวคริสเตียนตั้งแต่ยุคแรกจนถึงยุคกลางก็มุ่งมั่นแต่จะค้นหาสวนสวรรค์เอเดน บางคนเชื่อว่าเอเดนถูกทำลายไปแล้วเมื่อครั้งน้ำท่วมโลก บ้างก็เชื่อว่าเอเดนอยู่บนภูเขาสูงไม่ได้รับผลกระทบจากมหาภัยครั้งกระนู้น ทว่าคนส่วนใหญ่มีความเห็นว่าเอเดนตั้งอยู่บนเกาะทางตะวันออก หลายคนก็สรุปว่าคือศรีลังกา(เรอะ... เมื่อคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส อนุมานว่าโลกมันไม่ได้แบนแต่กลมเหมือนลูกแพร์ ทำให้หลายคนสรุปว่าอุทยานแห่งนี้ตั้งอยู่บนส่วน"ก้าน"ของลูกแพร์ครับ ว่ากันไปโน่นเลย

ร่องรอยของสวนสวรรค์เอเดนนั้นอยู่หนใด เมโสโปเตเมีย?
เมื่อโลกสมัยหลังเจริญขึ้น มีการสำรวจมีการบันทึกถึงดินแดนต่างๆมากขึ้น ไม่มีใครสืบสาวราวร่องได้ว่าสวนสวรรค์เอเดนตั้งอยู่ที่ตรงไหน นักปราชญ์จึงย้อนกลับไปหาบท Genesis อีกครั้งเพื่อค้นหาสิ่งที่บอกร่องรอยที่ตั้งของสวนสวรรค์นี้ ดินแดนเมโสโปเตเมียหรือประเทศอิรัคในปัจจุบันนี้ ดูจะเป็นสิ่งที่เข้าเค้าและน่าค้นหามากที่สุด ทั้งนี้ก็เพราะแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติสที่ปรากฏในพระคัมภีร์ไหลผ่านบริเวณนี้นั่นเอง ถึงกระนั้นก็เถอะครับ ดินแดนเมโสโปเตเมียมันไม่ใช่เล็กๆ และแม่น้ำอีกสองสายในพระคัมภีร์คือพิโชนและกิโฮนก็ไม่ได้ปรากฎอยู่ จึงไม่อาจบ่งบอกตำแหน่งของสวนสวรรค์เอเดนได้ มีคนโยงเมืองเยรูซาเล็มกับกอลกอธาเข้ากับเอเดน เนื่องจากเกี่ยวข้องกับพระเยซูเป็นอย่างมาก และพระเยซูมักถูกขนานนามว่าอาดัมคนที่สอง จึงน่าจะสมเหตุสมผลที่โยงสวรรค์เอเดนเข้ากับเมืองเหล่านี้ แต่หลักฐานอ่อนมากๆครับจึงตกไป ปมปัญหาจึงน่าจะอยู่ที่บันทึกของสุเมเรียน อันกล่าวถึงเอเดนหรือ Eridu เป็นแหล่งแรกในโลก แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีใครสาวร่องรอยนี้พบ
และการที่ไม่มีใครค้นหาเอเดนพบนี่เอง ชาวคริสต์ในสมัยหลังๆ จึงตามรอยชาวมุสลิมคือพยายามมโนภาพและสร้างเอเดนให้เป็นสวนหรืออทุยานที่อยู่บนสวรรค์ บนดินแดนแห่งพระเจ้า โดยอาศัยข้อมูลจากไบเบิลและงานเขียนในยุคคลาสสิค (ของมุสลิมใช้โกหร่านเป็นแหล่งข้อมูลครับ)
ความสำคัญของเอเดนในสายตาของหล่าสาวกทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศนั้น คือเป็นแล็บของพระเจ้าในการสร้างและทดลองถ่ายเทพันธุกรรมมนุษย์ ซึ่งหลายคนก็มีทฤษฎีที่ตั้งของสวนสวรรค์แห่งนี้ มีรายละเอียดที่ชี้นำไว้น่ารับฟังมาก เอาไว้ว่างๆจะแกะมาเล่าให้ฟังละกันนะครับ มาเล่าตรงนี้ดูจะผิดที่ผิดทางไปหน่อย