30/11/52

คำทำนายของนอสตราดามุส



ยักษ์นอกศาสนาจะฆ่ากัน
สงคราม
ชั่วโมงนี้ทั่วโลกต่างก็จับจ้องอยู่กับเรื่องสงครามระหว่างมะริกัน-อัฟกัน มิใช่เพียงเพราะนี่เป็นสงครามระหว่างประเทศมหาอำนาจ อย่างสหรัฐอเมริกา ภายใต้การนำของประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช กับประเทศอัฟกานิสถาน ภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหาร ตาลีบัน ที่ปกป้องและให้ผืนแผ่นดินพักพิงกับ โอซามา บิน ลาเดน ผู้ก่อการร้ายที่สหรัฐเชื่อว่าอยู่เบื้องหลังการก่อวินาศกรรมครั้งใหญ่ในสหรัฐ

และมิใช่เพียงเพราะนี่เป็น "สงครามแรกของศตวรรษที่ 21" แต่เพราะมีการระบุว่าศึกล้างแค้นของสหรัฐในครั้งนี้ ดีไม่ดีอาจเป็นชนวนนำไปสู่การเกิด "สงครามโลกครั้งที่ 3" หรือปะเหมาะเคราะห์ร้ายอาจถึงขั้นบานปลายเป็น "สงครามล้างโลก"

อะไรทำให้เกิดความหวาดวิตกเช่นนี้ ??

ประการแรก... สงครามครั้งนี้สหรัฐประกาศกร้าวว่าจะกระทำอย่างไม่ไว้หน้าใคร เว้นแต่จะได้ตัวบิน ลาเดน มาลงโทษแต่โดยดี ซึ่งคงเป็นไปได้ยาก สหรัฐจึงต้องทุ่มเททุกวิถีทางเพื่อชัยชนะ เพื่อกู้หน้า-กู้ศักดิ์ศรี เพื่อชำระแค้นการก่อการร้ายที่ส่งผลให้มีชาวอเมริกันและชาติอื่นเสียชีวิตและสูญหายหลายพันคน

จุดนี้เองที่ก่อให้ความกังวลว่าขอบเขตของสงครามอาจจะมิได้จำกัดอยู่เพียงอัฟกานิสถาน แต่อาจบานปลายลุกลามไปถึงประเทศอาหรับอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการนำเรื่อง "ศาสนา" เข้ามามัดโยง จนกลายเป็น "สงครามศาสนา" ซึ่งถ้าถึงวันนั้นผลกระทบการขัดแย้งจะผุดขึ้นทุกหัวระแหงทั่วโลก !! ยิ่งถ้ามีประเทศมหาอำนาจหรือมหาอำนาจเก่าซีกอื่น เช่น จีน, รัสเซีย มองว่าสิ่งที่สหรัฐกำลังทำอาจกระทบเสถียรภาพของประเทศตน แล้วโดดลงมาขวาง หรือลงมาช่วยฝ่ายตรงข้ามสหรัฐ นี่ย่อมมิใช่เรื่องเล็ก ๆ

สงครามใหญ่หยุดโลกย่อมมีสิทธิบังเกิด !!

อีกประการหนึ่ง... ได้มีความกังวลกันว่ากลุ่มก่อการร้ายที่กล้าทำขนาดนี้ บางทีอาจเพราะมีไพ่เด็ดอยู่ในมือก็เป็นได้ ซึ่งหากถูกสหรัฐกดดันรุงแรงมากเข้าที่สุดก็อาจหงายไพ่มาสู้ ไพ่เด็ดที่ว่านี้ก็คือ "อาวุธนิวเคลียร์-อาวุธเคมี-อาวุธเชื้อโรค" อาวุธที่มีอานุภาพล้างโลกได้ง่าย ๆ และอีกสิ่งซึ่งมาเสริมความหวาดกลัว "สงครามโลกครั้งที่ 3 - สงครามล้างโลก" ก็คือ...คำทำนายโบราณในทางศาสนาต่าง ๆ และคำทำนายของ "นอสตราดามุส" นักพยากรณ์ชื่อก้องโลกชาวฝรั่งเศส
จากเอกสารที่กล่าวอ้างถึง "พุทธทำนาย" มีการระบุถึงคำพยากรณ์อนาคตมนุษย์โลกไว้ตอนหนึ่งในทำนองที่ว่า...หลังกึ่งพุทธกาลหรือหลัง พ.ศ. 2500 แล้ว สงครามที่ร้ายแรงยิ่งกว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 จะบังเกิดขึ้น "ยักษ์นอกพุทธศาสนาจะรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายต่างจะล้มตายกันฝ่ายละ มาก ๆ สมณะ ชี พราหมณ์จะล้มตาย จะตายไปฝ่ายละครึ่ง จึงจะเลิกรากัน"



ใน "พระคัมภีร์ไบเบิล" ของศาสนาคริสต์ ได้มีการทำนายการแตกดับของโลกไว้หลายบท เช่น... "วันที่พระเจ้ามาถึง วันนั้นท้องฟ้าจะถูกไฟผลาญสลายไป และโลกธาตุก็จะถูกไฟเผาให้สลายไป..."

ขณะที่ "นอสตราดามุส" ก็เขียนโคลงทำนายเกี่ยวกับการเกิดกลียุคของโลก-วันโลกาวินาศไว้ในบันทึกชื่อ "เดอะ เซ็นจูรี่" เมื่อกว่า 400 ปีก่อนไว้หลายบท อาทิ... "ดวงอาทิตย์ขึ้นจะเห็นดวงไฟใหญ่ แสงวูบวาบกับเสียงกึกก้องจะแผ่ไปทางเหนือ เสียงร้องครวญครางโหยหวนของความตายได้ยินไปทั่วทั้งโลกด้วยสรรพาวุธ ไฟ ความอดอยาก กับความตายจะคอยรับพวกเขา" (ซ.2 ค.91) บรรยากาศท้องฟ้าและแผ่นดินโลกจะมืดลง และถูกบดบังจนมืดครึ้ม แม้แต่คนไม่เชื่อศาสนายังพร่ำเรียกหาพระผู้เป็นเจ้ากับนักบุญ" (ซ.9 ค.83)

นอกจากนี้ นอสตราดามุสยังได้เขียนจดหมายถึงซีซาร์บุตรชาย มีข้อความตอนหนึ่งว่า... "ก่อนที่ดวงจันทร์จะโคจรจนครบรอบใหญ่ (ค.ศ. 1889-2250) ดวงอาทิตย์และดาวเสาร์จะมาถึงตามลักษณะของดวงดาว ยุคของดาวเสาร์จะเกิดขึ้นอีกเป็นหนที่ 2 คำนวณจากเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว โลกจะพาตัวเองใกล้เข้าสู่วัฏจักรแห่งการแตกดับขั้นสุดท้าย"

ล้วนเป็นคำทำนายเรื่องหายนะของโลก !!

อย่างไรก็ตาม พระราชกวี รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย (มมร.) กล่าวเตือนสติว่า... คนมักไปฟังการทำนายของนอสตราดามุส มากเกินไป มีการตีความกันไปต่าง ๆ นานา โดยเฉพาะที่มีการตีความเมื่อ 2-3 ปีก่อนว่าจะเกิดน้ำท่วมโลก ซึ่งในอดีตกาลพระพุทธเจ้าไม่เคยทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้า ท่านมีแต่ยกเหตุผลมาเป็นตัวอย่าง เช่น เรื่องประมาท หรือการสร้างเวร เวรจะระงับได้ด้วยการไม่จองเวร
การจองเวรเป็นการจุดไฟให้ลุก..เกิดการล้างผลาญ

"สหรัฐมีไฟที่จุดอยู่ในใจ จึงเกิดความเคียดแค้น หากยังไม่เลิกจองเวร หรือทำลายล้าง ความหายนะก็จะเกิดขึ้นกับทุกฝ่าย เพียงเพราะต้องการทำลายคนแค่ 1-2 คนเท่านั้น"

ด้าน พระศรีปริยัติโมลี รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) ฝ่ายการต่างประเทศ กล่าวว่า... ทางศาสนาพุทธไม่เคยมีใครทำนายอย่างนอสตราดามุส ส่วนของเราจะพูดในหลักการ หมายความว่าโลกเราเป็นไปตามกฎอนิจจัง ไม่ว่าคนหรือสิ่งของอะไรที่ใหญ่โตมโหฬาร มีอำนาจบารมีมากมายมหาศาลแค่ไหน ก็ต้องถูกทำลายล้าง คือทุกอย่างมันไม่เที่ยง ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปเสมอ

"ถ้าโลกจะพินาศย่อยยับดับสูญไป เกิดสงครามล้างโลก สาเหตุก็มาจากกิเลสในใจมนุษย์ ที่มีทั้งความโลภ โมหะ และความหลง ความอยากได้ เหล่านี้เป็นชนวนเหตุที่ทำให้เกิดสงคราม โดยมนุษย์เป็นผู้ทำลายในแง่ของการปฏิบัติ เพราะสงครามที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งก็เนื่องมาจากการแย่งชิงทรัพยากร ความโกรธเกลียด พยาบาทอาฆาตแค้น และแบ่งแยกสีผิว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสหรัฐอเมริกาก็เช่นเดียวกัน"

คำทำนายใดที่ว่าน่ากลัว..ที่สุดแล้วก็คงไม่น่ากลัวเท่าจิตใจอันเคียดแค้นของมนุษย์เอง !!

อัลเบิร์ต ไอสไตน์ อัจฉริยะผู้คิดค้นระเบิดปรมาณู เคยกล่าวไว้ว่า... สงครามโลกครั้งที่ 3 มนุษยชาติจะรบราฆ่ากันยังไง...ไม่รู้ แต่ที่รู้ก็คือ "สงครามโลกครั้งที่ 4" มนุษย์จะรบกันด้วย "ไม้

ตำนานสวนอีเดน




.:: Eden: สวนสวรรค์ยุคบรรพกาล ::.
เรื่องเกี่ยวกับกำเนิดของอาดัมและอีฟ และการถูกอัปเปหิออกจากแดนสวรรค์ที่พระเจ้าเนรมิตขึ้นให้อาศัยอยู่ ตามที่เล่าในคัมภีร์ไบเบิลเล่มปฐมกาลนั้นนะครับ กล่าวได้ว่าเป็นใจความสำคัญอย่างหนึ่งของศาสนาคริสต์ ยูดาย เลยทีเดียว ความคิดเรื่องสวนสวรรค์อีเดน ติดตรึงอยู่ในจินตนาการสร้างสรรค์ของศิลปินและนักประพันธ์มาหลายยุคหลายสมัย สืบเนื่องกันมานานหลายศตวรรษแล้ว

อาดัมกับอีฟที่ถูกมารร้ายลวงล่อให้กินผลไม้แห่งความรู้
แต่ทราบกันไหมครับว่า เรื่องราวของเอเดนนั้น มาจากจารึกตำนานของชาวสุเมเรียน ซึ่งกล่าวถึงดินแดนแห่งพระเจ้า Eridu ที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาจากที่นั่น ตำนานของชาวอินคาก็มีเรื่องราวที่คล้ายๆกัน ว่าด้วยการสร้างมนุษย์โดยเทพจากห้วงเวหาวิราโคชา ที่ทะเลสาบติติคาคาในปัจจุบัน ซึ่งรายละเอียดส่วนนี้ผมเคยเล่าไปหลายรอบแล้ว และคงจะมาขยายรายละเอียดอีกทีใน Ancient Astronaut ภาค Revisited ซึ่งกำลังเรียบเรียงอยู่ ตอนนี้เอาเป็นว่า ผมจะพาท่านมารู้จักกับสวนสวรรค์เอเดนสักนิดละกันนะครับ ว่าตามความเชื่อของคริสตศาสนิกชน ตามไบเบิลฉบับปฐมกาล และตามเรื่องราวของชาวยิวโบราณหรือฮีบรูว์นั้น กล่าวถึงสวนสวรรค์เอเดนกันว่าอย่างไร ถือเป็นการปูพื้นพอหอมปากหอมคอ หลายๆท่านจะได้ไม่สงสัยไงครับ เวลาผมกล่าวอ้างถึงสวนสวรรค์เอเดน (โดยเฉพาะใน"ไบเบิ้ลกับพระเจ้าจากอวกาศ" ที่นายโซนิคดองเอาไว้นานแสนนาน ช่วงหลังจะกล่าวถึงรายละเอียดของเอเดนกับน้ำท่วมโลกแทบทั้งหมดเลย - - แบบว่า กำลังมีโปรเจ็คจะปัดฝุ่นเอามาทำต่อน่ะครับ รอกันนานจนลืมกันไปแล้วหรือยังเอ่ย)
เอาล่ะเรามาต่อกันดีกว่า สวนสวรรค์เอเดนซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดในโลกแห่งนี้ สุขสงบสวยงามอุดมไปด้วยน้ำ อาหารการกิน อาดัมกับอีฟมีเพื่อนเป็น"!ทุกตัวในท้องทุ่งและนกทุกตัวในอากาศ" ที่คอยให้ความเพลิดเพลิน ต้นไม้ไพรพฤกษ์แผ่เงาร่มเย็น แม่น้ำเป็นประกายระยับไหลผ่านอุทยาน และเมื่อไหลพ้นแดนสวรรค์ก็แยกเป็นสายธารสี่สายคือ พิโชน กริโฮน ไทกริสและยูเฟรติส (โปรดสังเกตสองแม่น้ำด้านหลังครับ แม่น้ำสายสำคัญของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย... รายละเอียดของสิ่งแวดล้อมที่บันทึกไว้ในไบเบิลมีเพียงเท่านี้ ส่วนที่เหลือคงแล้วแต่คนรุ่นหลังจะตีความ ต้นไม้ที่มีอยู่จริงแท้แน่นอนในสวนนี้ที่กล่าวถึงคือต้นมะเดื่อ แม้เรื่องเล่าภายหลังจะบอกว่าต้นอินทผลัมเป็นต้นไม้แห่งชีวิต และต้นกล้วยคือต้นไม้แห่งความรู้ก็ตามที (คิดถึงต้นไม้แห่งชีวิตของชาวสุเมเรียนขึ้นมาตะหงิดๆแฮะ)

พอพูดถึงเอเดนคนมักจะคิดไปถึงสวนที่มีรั้วรอบขอบชิด อาจเป็นเพราะคำภาษากรีกว่า ปาราดิซอส(paradisos) ซึ่งหมายถึงสวนสวรรค์เอเดนนั้นแปลว่า "ที่ดินซึ่งปิดล้อมเอาไว้" จากต้นตอที่แทบไม่ได้บอกอะไรเอาไว้เหล่านี้ เหล่ากวี จิตกร นักโบราณคดี นักศาสนวิทยา จึงพากันตีความวาดภาพสวนสวรรค์เอเดน โดยใช้ข่าวลือเกร็ดเสริมจากแหล่งต่างๆตามความสามารถในการตีความของตน เรียกว่า ไม่มีใครทราบสภาพความเป็นไปอันแท้จริงของสวนสวรรค์นี้เลยก็ว่าได้ครับ
เรื่องเล่าเก่าแก่ที่สุดของสวรรค์บนดินอาจย้อนรอยสืบไปจนถึงประมาณ 2000 BC. ดินแดนที่เรียกว่า Dilmun ของชาวสุเมเรียนซึ่งตั้งอยู่ ณ ตำแหน่งของอาทิตย์อุทัยคือที่สถิตย์แห่งปวงเทพเจ้า เป็นสถานที่ซึ่งปราศจากความเศร้าโศก โรคภัย หรือแม้แต่ความแก่ชรา และเป็นที่ซึ่ง "ไม่มีใครได้ยินเสียงการ้อง" มีคำอ้างอิงที่แน่ชัดกว่าเกี่ยวกับสวนนี้ในมหากาพย์กิลกาเมชของชาวสุเมเรียน แม้ว่าจะดูคล้ายกับ"อุทยานของพระเจ้า" ในคัมภีร์ของ Ezekeil มากกว่าสวนสวรรค์เอเดนในบท Genesis ของไบเบิลก็ตามที ในมหากาพย์นี้กิลกาเมชตัวเอกของเรื่องเดินทางไปสู่ยอดเขา"อุทยานของพระเจ้า" ที่ต้นไม้มีอัญมณีประดับระยิบระยับออกผลเป็นโกเมน และมีใบเป็นหินลาพิซ ลาซูรี สีน้ำเงินเข้ม



คำพรรณนาเกี่ยวกับแดนสวรรค์ที่ไม่ได้มาจากพระคัมภีร์ไบเบิล แต่มีอิทธิพลอย่างมากต่อมโนความคิดของชาวคริสต์สมัยต่อมา เป็นคำพรรณนาของกวียุคคลาสสิคในสมัย 800 BC. โฮเมอร์มหากวีชาวกรีกกล่าวถึงดินแดน Elisium ซึ่งตั้งอยู่สุดปลายโลก ในเอลิเซียมนั้นหิมะไม่ตก มี้พียงสายลมแผ่วเบาชื่นใจ เฮซิออตผู้เป็นกวีร่วมสมัยเดียวกับโฮเมอร์บรรยายถึงเรื่องราวที่แตกต่างออกไป โดยพุ่งความสนใจไปที่สภาพความเป็นอยู่ที่สุขสงบมากกว่าจะพูดถึงตัวสถานที่เอง ชวนให้ผู้คนหวนรำลึกถึงยุคทองที่สงบสุขแห่งอดีต ผู้คนที่ไม่มีวันแก่เฒ่า ใช้ชีวิตโดยไม่ต้องทำงานหนัก อาศัยผลิตผลอันอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินเป็นอาหารเช่นเดียวกับอาดัมและอีฟ ก่อนที่พวกเขาจะถูกขับออกมาจากสวนสวรรค์แห่งพระเจ้า... เอเดน
ทั้งโฮเมอร์และเฮซิออต ตลอดจนกวีรุ่นหลังชาวโรมันคือเวอร์จิลและโอวิดมีอิทธิพลใหญ่หลวงต่อการสร้างมโนภาพสวนสวรรค์เอเดน นับแต่ยุคคริสเตียนระยะแรกๆมาจนถึงยุคเรอเนอซองส์และยุคต่อจากนั้น จอห์น มิลตัน กวีชาวอังกฤษพรรณนาถึงสวนสวรรค์เอเดนอย่างละเอียดและมีสีสรรค์ ในมหากาพย์เรื่อง Paradise Lost หรือสวรรค์ล่ม สวรรค์ของมิลตันตั้งอยู่บนที่ราบสูงชัน มีกำแพงล้อมรอบ บนภูเขาปกคลุมด้วยต้นไม้สูงส่งกลิ่นหอมตลบไปทั่ว เต็มไปด้วยเสียงนกนานาชนิด ตามลำธารและอน้ำมีน้ำเหลือเฟือ ความเป็นอัจฉริยะของมิลตันนั้น อยู่การนำเนื้อหาจากทั้งในพระคัมภีร์ไบเบิลและที่อื่นมาผสมผสานกันอย่างแยบคาย บ่อน้ำที่ไม่มีวันเหือดแห้งซึ่งหล่อเลี้ยงสวนนี้กับพื้นดินอันอุดมสมบูรณ์ มีที่มาจากเรื่องราวของเอลิเซียมในสมัยคลาสสิคอย่างไม่ต้องสงสัย
สวนสวรรค์อันพูนพร้อมด้วยรูป รส กลิ่น เสียง นั้น เป็นลักษณะสวรรค์ของชาวมุสลิมที่อยู่บนสววรค์ชั้นฟ้ามากกว่าจะอยู่บนโลก ในคัมภีร์โกหร่านบอกว่ามุสลิมที่เคร่งครัดจะได้ขึ้นสวรรค์หลังจากตายไป และขึ้นไปอยู่ในอุทยานที่มีบ่อน้ำพุพรูพรั่งมีบ่อน้ำหอมหวานไหลริน ต้นปาล์มและทับทิมร่มรื่นเต็มสวน มีที่นอนอันอ่อนนุ่มให้เอนนอน คนที่ได้ขึ้นสวรรค์จะแต่งตัวในชุดผ้าไหมสีเขียว มีสาวพรหมจารีย์ที่งามราวกับทับทิมและปะการังมาปรนนิบัติด้วยอาหารในจานสีเงิน (โอ๊ะ ^^! ชอบ...
ในขณะที่ชาวมุสลิมมุ่งเนรมิตสวรรค์บนโลกโดยการสร้างอุทยานอันสงบสุข ชาวคริสเตียนตั้งแต่ยุคแรกจนถึงยุคกลางก็มุ่งมั่นแต่จะค้นหาสวนสวรรค์เอเดน บางคนเชื่อว่าเอเดนถูกทำลายไปแล้วเมื่อครั้งน้ำท่วมโลก บ้างก็เชื่อว่าเอเดนอยู่บนภูเขาสูงไม่ได้รับผลกระทบจากมหาภัยครั้งกระนู้น ทว่าคนส่วนใหญ่มีความเห็นว่าเอเดนตั้งอยู่บนเกาะทางตะวันออก หลายคนก็สรุปว่าคือศรีลังกา(เรอะ... เมื่อคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส อนุมานว่าโลกมันไม่ได้แบนแต่กลมเหมือนลูกแพร์ ทำให้หลายคนสรุปว่าอุทยานแห่งนี้ตั้งอยู่บนส่วน"ก้าน"ของลูกแพร์ครับ ว่ากันไปโน่นเลย

ร่องรอยของสวนสวรรค์เอเดนนั้นอยู่หนใด เมโสโปเตเมีย?
เมื่อโลกสมัยหลังเจริญขึ้น มีการสำรวจมีการบันทึกถึงดินแดนต่างๆมากขึ้น ไม่มีใครสืบสาวราวร่องได้ว่าสวนสวรรค์เอเดนตั้งอยู่ที่ตรงไหน นักปราชญ์จึงย้อนกลับไปหาบท Genesis อีกครั้งเพื่อค้นหาสิ่งที่บอกร่องรอยที่ตั้งของสวนสวรรค์นี้ ดินแดนเมโสโปเตเมียหรือประเทศอิรัคในปัจจุบันนี้ ดูจะเป็นสิ่งที่เข้าเค้าและน่าค้นหามากที่สุด ทั้งนี้ก็เพราะแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติสที่ปรากฏในพระคัมภีร์ไหลผ่านบริเวณนี้นั่นเอง ถึงกระนั้นก็เถอะครับ ดินแดนเมโสโปเตเมียมันไม่ใช่เล็กๆ และแม่น้ำอีกสองสายในพระคัมภีร์คือพิโชนและกิโฮนก็ไม่ได้ปรากฎอยู่ จึงไม่อาจบ่งบอกตำแหน่งของสวนสวรรค์เอเดนได้ มีคนโยงเมืองเยรูซาเล็มกับกอลกอธาเข้ากับเอเดน เนื่องจากเกี่ยวข้องกับพระเยซูเป็นอย่างมาก และพระเยซูมักถูกขนานนามว่าอาดัมคนที่สอง จึงน่าจะสมเหตุสมผลที่โยงสวรรค์เอเดนเข้ากับเมืองเหล่านี้ แต่หลักฐานอ่อนมากๆครับจึงตกไป ปมปัญหาจึงน่าจะอยู่ที่บันทึกของสุเมเรียน อันกล่าวถึงเอเดนหรือ Eridu เป็นแหล่งแรกในโลก แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีใครสาวร่องรอยนี้พบ
และการที่ไม่มีใครค้นหาเอเดนพบนี่เอง ชาวคริสต์ในสมัยหลังๆ จึงตามรอยชาวมุสลิมคือพยายามมโนภาพและสร้างเอเดนให้เป็นสวนหรืออทุยานที่อยู่บนสวรรค์ บนดินแดนแห่งพระเจ้า โดยอาศัยข้อมูลจากไบเบิลและงานเขียนในยุคคลาสสิค (ของมุสลิมใช้โกหร่านเป็นแหล่งข้อมูลครับ)
ความสำคัญของเอเดนในสายตาของหล่าสาวกทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศนั้น คือเป็นแล็บของพระเจ้าในการสร้างและทดลองถ่ายเทพันธุกรรมมนุษย์ ซึ่งหลายคนก็มีทฤษฎีที่ตั้งของสวนสวรรค์แห่งนี้ มีรายละเอียดที่ชี้นำไว้น่ารับฟังมาก เอาไว้ว่างๆจะแกะมาเล่าให้ฟังละกันนะครับ มาเล่าตรงนี้ดูจะผิดที่ผิดทางไปหน่อย